![[รีวิว-เรื่องย่อ] เฮาส์ ออฟ กินเนสส์ | House Of Guinness (2025)](https://www.nanitalk.com/wp-content/uploads/2025/09/Review-House-Of-Guinness-2025.webp)
- House Of Guinness เป็นซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริงของครอบครัวกินเนสส์ในปี 1860s ที่ผสมผสานดราม่าครอบครัวกับการเมืองไอริช
- การแสดงของ Anthony Boyle ในบท Arthur สุดโดดเด่น แสดงความทะเยอทะยานและความขัดแย้งได้อย่างน่าติดตาม
- ซีรีส์สำรวจธีมอำนาจ ครอบครัว และการปฏิรูปสังคมในยุคอุตสาหกรรม
- ผู้กำกับ Steven Knight นำเสนอเรื่องราวที่ดุเดือดเหมือน Peaky Blinders แต่เน้นประวัติศาสตร์ไอริช
เคยสงสัยไหมว่าชีวิตครอบครัวมหาเศรษฐีเบียร์อย่าง กินเนสส์ ในยุค 1800s มันดราม่าแค่ไหน? ลองนึกภาพครอบครัวที่รวยล้นฟ้า แต่ต้องเจอกับการแย่งชิงอำนาจ การเมืองร้อนระอุ และความลับดำมืดที่ซ่อนอยู่ใต้โรงงานเบียร์ยักษ์ใหญ่ ซีรีส์ House Of Guinness (2025) ของผู้กำกับ Steven Knight พาเราไปดำดิ่งสู่โลกของครอบครัวนี้ในกรุงดับลิน ปี 1868 หลังจากพ่อตาย การฝังศพกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย เมื่อพวกกบฏและพวกภักดีปะทะกันเรื่องบทบาทของกินเนสส์ในสังคมไอริช
เรื่องราวไม่ใช่แค่ดราม่าครอบครัวธรรมดา แต่ยังผสมการเมือง การก่อการร้าย และธุรกิจที่ทำให้เมืองทั้งเมืองสั่นคลอน ลูกๆ สามคนต้องสู้กันเองเพื่อครองบัลลังก์เบียร์ Arthur ผู้ทะเยอทะยาน (Anthony Boyle) Edward นักปฏิรูปจืดชืด (Louis Partridge) และ Anne น้องสาวที่ถูกมองข้าม (Emily Fairn) พวกเขาต้องเผชิญกับพวกกบฏ ทหารรับจ้าง และนักแบล็กเมล์ที่เข้ามาพัวพัน ทำให้เรื่องราวยิ่งซับซ้อนเหมือนเบียร์ที่หมักนานจนเข้มข้น
ในรีวิวนี้ เราจะพาไปเจาะลึกทุกมุมของซีรีส์เรื่องนี้ ตั้งแต่การแสดงที่สะกดใจ ไปจนถึงข้อความลึกซึ้งเกี่ยวกับอำนาจและสังคมที่ซีรีส์อยากบอก มาดูกันว่า House Of Guinness จะทำให้เราคิดใหม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไอริชและครอบครัวมหาอำนาจได้ยังไง

รีวิวและเรื่องย่อ House Of Guinness (เฮาส์ ออฟ กินเนสส์)
House Of Guinness เล่าเรื่องการต่อสู้แย่งอำนาจในครอบครัวกินเนสส์หลังจาก Benjamin Guinness เสียชีวิตในปี 1868 การฝังศพของเขากลายเป็นจุดระเบิดความขัดแย้งระหว่างพวกสาธารณรัฐนิยมและพวกภักดีต่ออังกฤษ เพราะกินเนสส์คือนายจ้างใหญ่ที่สุดในดับลิน ที่มีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจและการเมืองไอริช ลูกๆ สามคนต้องสู้กันเพื่อครองธุรกิจเบียร์ยักษ์ใหญ่ Arthur (Anthony Boyle) เป็นพวกอนุรักษนิยมที่ชอบเล่นการเมืองแบบสกปรก Edward (Louis Partridge) อยากปฏิรูปสังคมให้ดีขึ้น และ Anne (Emily Fairn) น้องสาวที่ถูกมองข้ามแต่แอบฉลาดหลักแหลม
เรื่องราวขยายไปถึงพวกกบฏอย่าง Ellen (Niamh McCormack) และ Sean (Seamus O’Hara) ที่เข้ามาแทรกแซง รวมถึงพวกนักเลงบริษัท (James Norton) และนักแบล็กเมล์ Fenian (Jack Gleeson) ที่เคยเล่น Joffrey ใน Game Of Thrones ความรุนแรง การเลือกตั้ง และเรื่องอื้อฉาวแผ่ขยายจากดับลินไปนิวยอร์ก ทำให้ซีรีส์เต็มไปด้วยความตึงเครียดเหมือนเบียร์ที่กำลังเดือดพล่าน
ซีรีส์ถ่ายทำสวยงามและหรูหราเกินตัว Steven Knight ใช้สไตล์จาก Peaky Blinders มาขยายเรื่องเล็กให้ดูยิ่งใหญ่ แต่ถ้าไม่ชอบสไตล์เขา ก็อาจรู้สึกว่ามันโอเวอร์ไปหน่อย การตัดต่อเร็วเหมือนเทรลเลอร์ บทพูดเยอะ และเพลงสมัยใหม่ที่พยายามยัดเข้ายุค 1800s ทำให้รู้สึกเหมือนกลิ่นฮอปส์ลอยมา แต่ก็แอบมีกลิ่นการตลาดแบบเสื้อยืดวันพ่อ
การแสดงของ Anthony Boyle ในบท Arthur เป็นจุดเด่นสุดๆ เขาถ่ายทอดความทะเยอทะยานและความร้ายกาจได้อย่างสนุก น่าติดตาม เหมือนตัวละครที่พร้อมหักหลังทุกคนเพื่ออำนาจ แต่ซีรีส์ยังขาดตัวเอกแบบ Tommy Shelby จาก Peaky Blinders ที่จะพาเรื่องไปสู่จุดพีคจริงๆ ทำให้บางตอนรู้สึกโล่งๆ กลางเรื่อง
James Norton ในบทนักเลงบริษัทก็น่าประทับใจ แสดงความดุร้ายและความซับซ้อนได้ดี ขณะที่ Jack Gleeson กลับมาในบทนักแบล็กเมล์ที่ชวนให้นึกถึง Joffrey แต่คราวนี้เพิ่มมิติทางประวัติศาสตร์ ส่วนนักแสดงอื่นอย่าง Louis Partridge และ Emily Fairn ก็ทำได้โอเค แต่ตัวละครยังไม่ลึกพอที่จะทำให้เราอินเต็มที่
เมื่อเทียบกับ Peaky Blinders ซีรีส์นี้มีฉากหลังที่น่าสนใจกว่า แต่ตัวละครกลับจืดชืด ทำให้เรื่องราวรู้สึกบางเบา ความลึกของตัวละครถูกข้ามๆ ไป เน้นสไตล์มากกว่าสาระ เหมือนเบียร์ที่ฟองสวยแต่รสชาติไม่เข้ม
ซีรีส์สำรวจธีมอำนาจ ครอบครัว และการปฏิรูปสังคมในยุคอุตสาหกรรม โดยแสดงให้เห็นว่ากินเนสส์เป็นทั้งจักรวรรดิชั่วร้ายและผู้ทำดีให้สังคม แต่คนงานจริงๆ ถูกผลักไปข้างหลัง เหมือนแค่ฉากหลังสวยๆ สำหรับช็อตสโลว์โมชั่น ทำให้รู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันไม่ลงตัว
เสียงประกอบและเพลงจากวงอย่าง Fontaines D.C. พยายามทำให้ประวัติศาสตร์ดูเท่และทันสมัย แต่บางทีก็รู้สึกฝืนๆ ถ้าชอบประวัติศาสตร์ที่ดูโมเดิร์น มีมุกตลกเบาๆ และไม่หนักเกินไป ซีรีส์นี้ลงตัว แต่แฟนตัวยงของ Knight อาจรู้สึกว่ามันขาดอะไรบางอย่าง
การนำเสนอเหมือนช็อตเหล้าที่เหนียวหนึบมากกว่าเบียร์ที่เทช้าๆ มันสนุกแต่ไม่ลึกซึ้ง เหมือนบทเรียนสังคมศตวรรษที่ 19 ที่ผสมเพลงฮิปฮอป

House Of Guinness (2025) ทำให้เราคิดถึงความซับซ้อนของอำนาจและครอบครัวในประวัติศาสตร์ไอริช ซีรีส์นี้แสดงว่าจักรวรรดิธุรกิจอย่างกินเนสส์เต็มไปด้วยคนเลวๆ แต่ก็สร้างสิ่งดีๆ มากมาย เหมือนเบียร์แก้วนึงที่ทั้งขมและสดชื่น ถ้าชอบดราม่าที่ดุเดือดและมีกลิ่นอาย Peaky Blinders เรื่องนี้ตอบโจทย์
แต่สุดท้าย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เบียร์หรือเมือง แต่คือธรรมชาติมนุษย์ที่เต็มไปด้วยการแย่งชิงและความขัดแย้ง ซีรีส์เตือนเราว่าการสร้างจักรวรรดิต้องแลกด้วยเลือดและน้ำตา
สำหรับใครที่อยากดู ซีรีส์ดราม่าประวัติศาสตร์ ที่สนุกและคิดตาม Eden ไม่ใช่ แต่ House Of Guinness นี่แหละที่จะทำให้คุณอยากจิบเบียร์สักแก้วหลังดูจบ มาคอมเมนต์กันว่าคุณคิดยังไงกับครอบครัวกินเนสส์ และแชร์รีวิวนี้ให้เพื่อนๆ ที่ชอบซีรีส์แนว Succession ผสม Peaky Blinders หน่อยสิ!
- ชื่อเรื่องในภาษาไทย: เฮาส์ ออฟ กินเนสส์
- ประเภท: ดราม่า, ประวัติศาสตร์, อาชญากรรม
- วันที่ออกฉาย: 25 กันยายน 2568
- นักแสดงนำ: Anthony Boyle, Louis Partridge, Emily Fairn, James Norton, Jack Gleeson
- ผู้กำกับ: Steven Knight
- จำนวนตอน: 8 ตอน
- เรตติ้ง IMDb: 7.2/10
- ช่องทางการดูในประเทศไทย: Netflix