รีวิวหนังฝรั่ง

[รีวิว-เรื่องย่อ] รอยเลือดฝังปฐพี | JFK (1991) หนังประวัติศาสตร์สุดเข้มข้น

  • JFK (1991) เป็นหนังประวัติศาสตร์ที่เจาะลึกปริศนาการลอบสังหารเคนเนดี ผ่านการสืบสวนของจิม แกร์ริสัน
  • การกำกับของโอลิเวอร์ สโตนและการตัดต่อที่ชาญฉลาดทำให้หนังน่าติดตามและทรงพลัง
  • หนังตั้งคำถามถึงความจริงในระบบการเมืองอเมริกัน และชวนให้คิดถึงพลังของ “ตำนาน” ที่อาจกลายเป็นความจริง
  • เหมาะสำหรับคนที่ชอบหนังดราม่าสืบสวนและเรื่องราวที่กระตุ้นความคิด

ลองนึกภาพคุณกำลังนั่งอยู่ในโรงหนัง ย้อนกลับไปในยุคที่ การลอบสังหารประธานาธิบดีเคนเนดี ยังคงเป็นปริศนาที่คนทั่วโลกถกเถียงกันไม่จบ JFK (1991) หนังกำกับโดย โอลิเวอร์ สโตน ไม่ใช่แค่หนังประวัติศาสตร์ธรรมดา แต่เป็นการเดินทางที่พาคุณดำดิ่งสู่ความจริงที่ถูกซ่อนไว้ ผสมผสานกับทฤษฎีสมคบคิดที่ทั้งน่าตื่นเต้นและชวนสงสัย หนังเรื่องนี้ไม่เพียงแค่เล่าเรื่องการสืบสวนของ จิม แกร์ริสัน อัยการจากนิวออร์ลีนส์ แต่ยังตั้งคำถามถึงความจริงในระบบการเมืองอเมริกันที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม คุณเคยสงสัยไหมว่า “ความจริง” ที่เราเชื่อนั้น มันคือความจริงหรือแค่เรื่องเล่าที่ถูกปรุงแต่ง?

JFK นำเสนอเรื่องราวที่หนักแน่นและซับซ้อน ผ่านการแสดงอันทรงพลังของ เควิน คอสต์เนอร์ และนักแสดงสมทบอย่าง ดอนัลด์ ซัทเธอร์แลนด์ และ โจ เพสซี่ ที่ทำให้ทุกฉากเต็มไปด้วยพลัง หนังเรื่องนี้เหมือนเพื่อนที่ชวนคุณมาคุยเรื่องลับสุดยอด แล้วค่อยๆ เปิดเผยปริศนาทีละชั้น ด้วยการตัดต่อที่ชาญฉลาดและการเล่าเรื่องที่ชวนให้คุณตั้งคำถามว่า “ใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้?” ไม่ว่าคุณจะเป็นคอหนังประวัติศาสตร์หรือแค่คนที่ชอบเรื่องราวดราม่าสืบสวน หนังเรื่องนี้จะทำให้คุณติดหนึบจนถึงนาทีสุดท้าย

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปสำรวจ JFK (1991) อย่างเจาะลึก ตั้งแต่เรื่องย่อที่เข้มข้น ไปจนถึงสไตล์การกำกับที่เป็นเอกลักษณ์ของโอลิเวอร์ สโตน และเหตุผลที่ทำให้หนังเรื่องนี้ยังคงเป็นที่พูดถึงมาจนถึงปี 2025 พร้อมแล้ว มาเริ่มต้นการเดินทางสู่หนึ่งในคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกันกันเถอะ!

JFK 1991

รีวิวและเรื่องย่อ JFK (รอยเลือดฝังปฐพี)

JFK (1991) เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นสามปีหลังจากการลอบสังหาร ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัส หนังติดตามการสืบสวนของ จิม แกร์ริสัน (รับบทโดย เควิน คอสต์เนอร์) อัยการจากนิวออร์ลีนส์ที่เริ่มสงสัยในรายงานของคณะกรรมการวอร์เรน ซึ่งสรุปว่า ลี ฮาร์วีย์ ออสวอลด์ (รับบทโดย แกรี โอลด์แมน) เป็นผู้ลงมือเพียงคนเดียว แต่แกร์ริสันเชื่อว่าออสวอลด์เป็นแค่หุ่นเชิดของกลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่า ไม่ว่าจะเป็นเพนตากอน, ซีไอเอ หรือแม้แต่เอฟบีไอ เขาตัดสินใจดำเนินคดีกับนักธุรกิจชื่อ เคลย์ ชอว์ (รับบทโดย ทอมมี ลี โจนส์) ซึ่งเขาคิดว่าเกี่ยวข้องกับแผนการนี้

เรื่องราวในหนังไม่ใช่แค่การสืบสวนคดีฆาตกรรม แต่เป็นการขุดคุ้ยถึงรากของระบบที่อาจมีส่วนทำให้เกิดสงครามเวียดนาม โอลิเวอร์ สโตน ใช้หนังเรื่องนี้ตั้งคำถามว่า สงครามที่คร่าชีวิตคนนับล้านอาจไม่ใช่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เป็นผลจากความต้องการของ “อุตสาหกรรมการทหาร” ที่ควบคุมทุกอย่างจากเบื้องหลัง การเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยข้อมูลหนักแน่นและบทสนทนาที่ยาวเหยียดอาจทำให้บางคนรู้สึกตามไม่ทัน แต่เมื่อถึงฉากที่ ดอนัลด์ ซัทเธอร์แลนด์ ปรากฏตัวพร้อมบทพูดยาวเหยียด คุณจะรู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในวังวนของทฤษฎีสมคบคิดที่ทั้งน่าตื่นเต้นและน่าสะพรึงกลัว

หนึ่งในจุดเด่นของ JFK คือการกำกับของ โอลิเวอร์ สโตน ที่ผสมผสานภาพจริงในประวัติศาสตร์เข้ากับฉากที่ถ่ายทำขึ้นใหม่ได้อย่างลงตัว การตัดต่อที่รวดเร็วและฉับไวทำให้ทุกฉากรู้สึกเหมือนการประกอบจิ๊กซอว์ คุณจะได้เห็นภาพข่าวเก่าๆ ผสมกับภาพแฟลชแบ็กที่สร้างขึ้นเพื่อเล่าเรื่องราวของแกร์ริสัน สไตล์นี้ไม่เพียงแค่ทำให้หนังน่าติดตาม แต่ยังช่วยขับเน้นความรู้สึกว่า “ความจริง” นั้นอาจถูกบิดเบือนได้ง่ายๆ สโตนเหมือนศิลปินที่กำลังวาดภาพปริศนา โดยให้ผู้ชมเป็นคนตัดสินใจว่าต้องการเชื่อในภาพนั้นหรือไม่

นอกจากนี้ การแสดงของนักแสดงสมทบอย่าง จอห์น แคนดี้ และ โจ เพสซี่ ยังเพิ่มสีสันให้กับหนังอย่างมาก แม้ว่าพวกเขาจะปรากฏตัวเพียงไม่กี่นาที แต่การแสดงของทั้งคู่กลับทิ้งความประทับใจที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะโจ เพสซี่ ที่ถึงแม้จะใส่วิกที่ดูแปลกๆ แต่ก็ยังขโมยซีนได้อย่างง่ายดาย การกำกับของสโตนทำให้ตัวละครทุกตัวมีบทบาทสำคัญ แม้ว่าบางครั้งบทสนทนาจะดูเหมือนการ “เทข้อมูล” ใส่ผู้ชมมากเกินไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของเสน่ห์ที่ทำให้ JFK ไม่เหมือนหนังเรื่องอื่น

JFK ไม่ได้เป็นแค่หนังเกี่ยวกับการลอบสังหาร แต่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองและอำนาจในอเมริกา สโตนตั้งคำถามถึงความภักดีที่ผิดที่ผิดทางของแกร์ริสัน ที่ยอมเสียสละครอบครัวเพื่อตามหาความจริง ฉากที่ภรรยาของแกร์ริสันขอให้เขากลับมาใส่ใจครอบครัว แต่ถูกมองว่าเป็น “คนขวางทาง” สะท้อนถึงความหมกมุ่นของตัวละครที่อาจทำให้ผู้ชมหงุดหงิด แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจได้ เพราะแกร์ริสันเชื่อว่าเขากำลังต่อสู้เพื่อ “ความจริง” และ “วิถีอเมริกัน”

หนังเรื่องนี้ยังชวนให้คุณคิดถึงคำพูดจากหนังเก่าอย่าง The Man Who Shot Liberty Valance ที่ว่า “เมื่อตำนานกลายเป็นความจริง…จงพิมพ์ตำนานนั้น” ใน JFK สโตนพยายามสร้างตำนานของเขาเอง โดยใช้การเล่าเรื่องที่ทรงพลังเพื่อโน้มน้าวผู้ชมว่าเบื้องหลังการลอบสังหารอาจมีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เราเห็น คุณอาจไม่เชื่อในทฤษฎีสมคบคิดของสโตนทั้งหมด แต่คุณจะอดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามว่า อะไรคือสิ่งที่เรายังไม่รู้?

JFK (1991) เป็นมากกว่าหนังประวัติศาสตร์ มันคือการเดินทางที่พาคุณไปสำรวจปริศนาที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน ผ่านการกำกับที่ชาญฉลาดของ โอลิเวอร์ สโตน และการแสดงที่ยอดเยี่ยมของ เควิน คอสต์เนอร์ หนังเรื่องนี้ไม่เพียงแค่เล่าถึงการสืบสวนของ จิม แกร์ริสัน แต่ยังชวนให้คุณตั้งคำถามถึงความจริงในโลกที่เต็มไปด้วยการเมืองและอำนาจ การตัดต่อที่ยอดเยี่ยมและการเล่าเรื่องที่เข้มข้นทำให้ JFK ยังคงเป็นหนังที่ทรงพลัง แม้จะผ่านมาเกือบสามทศวรรษ

ถ้าคุณรักหนังที่ทั้งบันเทิงและกระตุ้นความคิด JFK คือตัวเลือกที่ไม่ควรพลาด ลองหาเวลาดู แล้วมาคุยกันในคอมเมนต์ว่าคุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับทฤษฎีสมคบคิดนี้! แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ ที่ชื่นชอบ หนังประวัติศาสตร์ หรือ หนังสืบสวน เพื่อให้พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์นี้ด้วยกัน รับรองว่า JFK จะทำให้คุณต้องกลับมาคิดถึงมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า!

  • ชื่อเรื่องในภาษาไทย: รอยเลือดฝังปฐพี
  • ประเภท: ดราม่า, ประวัติศาสตร์, สืบสวน
  • วันที่ออกฉาย: 20 ธันวาคม 1991
  • นักแสดงนำ: เควิน คอสต์เนอร์, แกรี โอลด์แมน, ทอมมี ลี โจนส์, ดอนัลด์ ซัทเธอร์แลนด์
  • ผู้กำกับ: โอลิเวอร์ สโตน
  • ความยาว: 3 ชั่วโมง 9 นาที
  • เรตติ้ง IMDb: 8.0/10
  • ช่องทางการดูในประเทศไทย: Disney+

PhiRa W.

เป็นนักเขียนอิสระที่หลงใหลในสื่อบันเทิงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ วาไรตี้ และสารคดี ผมชอบที่จะวิเคราะห์และถอดรหัสเนื้อหาเหล่านั้นออกมาในรูปแบบของรีวิวที่เข้าใจง่ายและสนุกสนาน เพื่อแบ่งปันมุมมองและประสบการณ์ให้กับผู้อ่าน

บทความที่เกี่ยวข้อง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Back to top button